Tuesday, January 16, 2007

Day 4 : (1 มกราคม 2550) ปิระมิด สฟิงซ์

สวัสดีปีใหม่ ๒๕๕๐
แม้ว่าเราจะตื่นเช้าตามเวลาท้องถิ่น ๘ โมงเช้าแต่เวลานี้ในประเทศไทยประมาณเที่ยงวันแล้ว
เราก็กล่าวสวัสดีปีใหม่กันอีกครั้ง
วันนี้ที่จะได้เห็นมหาปิระมิด 3 องค์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ หนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ ซึ่งปัจจุบันก็ยังไม่มีใครให้คำตอบได้ชัดเจนว่า สิ่งก่อสร้างอันยิ่งใหญ่แห่งนี้สร้างขึ้นมาได้อย่างไร และสันนิษฐานว่าน่าจะมีอายุราว สาม-สี่พันปี มาแล้ว และเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณที่หลงเหลืออยู่เพียงแห่งเดียวในปัจจุบัน





















ปิระมิดองค์แรกที่ได้ไปเยือน เงยหน้ามองทีแทบไม่น่าเชื่อเลยว่ามันจะยิ่งใหญ่ขนาดนี้ เมื่อได้เห็นกับตาก็ต้องตะลึง




นี่คือปิรามิดองค์แรกที่สูงที่สุดใหญ่ที่สุด มหาปิรามิดคุฟู สร้างในช่วง 2,600 ปีก่อนคริสตกาล สร้างด้วยหินวางทับซ้อนกันขึ้นไปกว่า 2 ล้าน 3 แสนก้อน หินแต่ละก้อนหนักไม่ต่ำกว่า 2.5 – 15 ตัน ฐานปิรามิดแต่ละด้านยาวเท่ากันเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส 230 เมตร แต่เดิมสูง 146.5 เมตร แต่ปัจจุบันเหลือความสูงเพียง 137 เมตรเท่านั้น ลักษณะที่สมบูรณ์แบบของปิระมิดในสมัยโบราณจะเป็นสีขาว ถูกฉาบเรียบทั้งองค์ไม่ได้เห็นหินเป็นก้อน ๆ ต่อกันแบบนี้ เนื่องจากสภาพอากาศและกาลเวลาทำให้ผุกร่อนลงไปและในสมัยก่อนชาวบ้านมักจะมาขุดเอาหินปิรามิดไปใช้สร้างบ้าน










เมื่อเราหันหลังให้มหาปิรามิดคุฟูหันหน้าออกไป เราก็ได้เห็นเมืองกีซา กรุงไคโร ตึกสูงๆเยอะแยะไปหมด ถ่ายรวมไปกับตำรวจขี่อูฐลาดตระเวน สอดส่องความปลอดภัยด้วยเลยล่ะกัน


















เรามาที่จุดชมวิว panorama ที่สามารถมองเห็นปิรามิดทั้ง 3 องค์
ตรงจุดนี้นักท่องเที่ยวหลายเชื้อชาติยืนออกันหามุมถ่ายรูปดี ๆ กันเต็มไปหมด ทั้งไทย ญี่ปุ่น ฝรั่ง
องค์แรกทางซ้ายมือคือ มหาปิระมิดคูฟู ที่เล่าไปแล้ว

องค์ถัดมาคือปิรามิดเคเฟรนสร้างโดยฟาโรห์เคเฟรนผู้เป็นลูกของฟาโรห์คุฟู
และขวาสุดคือปิรามิดอเมนคูเรสร้างโดยฟาโรห์ซึ่งเป็นลูกของฟาโรห์เคเฟรน

นับลำดับกันไปมาก็พาลจะงงไปเหมือนกัน

เมื่อมองจากมุมนี้จะเห็นปิรามิดองค์ที่สองใหญ่ที่สุด แต่ความจริงแล้วปิรามิดองค์ที่สองสร้างอยู่บนเนินจึงทำให้มองดูเหมือนปิรามิดเคเฟรนใหญ่ที่สุด ปิรามิดองค์นี้สูงเดิม 143.5 เมตร ปัจจุบันสูงเพียง 136 เมตรเพราะทรุด และความยาวของฐานแต่ละด้าน 210.5 เมตรส่วนปิรามิดองค์อเมนคูเรสูงเดิม 66.5 เมตร ปัจจุบันสูงวัดได้ 62 เมตร ความยาวฐานด้านละ 108 เมตร

















จุดนี้จะมีชาวอียิปต์มาคอยถามนักท่องเที่ยวที่อยากจะขี่อูฐไปที่ปิรามิดองค์ที่สองและสาม ซึ่งถ้าเราอยากนั่งต้องบอกไกด์ อย่าไปนั่งสุ่มสี่สุ่มห้า ไม่อย่างนั้นเราอาจจะถูกโขกราคา ขึ้นอูฐ ๑๐ ปอนด์ อาจจะต้องเสียค่าลงอูฐ ๑๐๐ ปอนด์ก็เป็นได้
เมื่อมาถึงแล้วก็ต้องลองขี่อูฐตัวจริง ตัวเป็น ๆ พร้อมชมวิว panorama ขนาดนี้ ราคาค่าบริการ คนละ 10 ดอลลาร์ขี่สองคนหรือคนเดียวก็ได้ นับเป็นประสบการณ์ในช่วงเวลาสั้น ๆ ที่ตื่นเต้นทีเดียวล่ะเพราะเวลาอูฐลุกขึ้นยืนก็จะลุกทีละ 2 ขา ขาหลังก่อนแล้วค่อยขาหน้า มันก็ทำให้หกหน้าหกหลัง หวาดเสียวพิลึกกลัวจะตกลงไปนอนดิ้นให้อูฐเหยียบซ้ำอยู่บนพื้นทรายข้างล่าง ก้มลงไปดูพื้นทรายข้างล่างก็ให้จิตตก เพราะเต็มไปด้วยขี้อูฐ ก้อนหิน ก้อนกรวด เต็มพื้นเลย ถ้าซวยตกลงไปงานนี้มีได้เลือด









กับปิระมิดเคเฟรน ฉันเหลือตัวติ๊วเดียว














ขับรถต่อไปยังใกล้ ๆ กันคือสฟิงซ์ หน้าบู้บี้
สฟิงซ์ตัวนี้มีหน้าที่ปกปักษ์รักษาเขตแดนของฟาโรห์ให้รู้ว่าไม่ใช่ที่ๆ คนสามัญทั่วไปจะเข้าไปยุ่มย่าม ฟาโรห์เคเฟรนทรงให้สร้างเป็นประติมากรรมแกะสลักจำลองหน้าสฟิงซ์จากพระพักตร์ของพระองค์ โดยสฟิงซ์ตัวนี้แกะสลักจากหินเพียงก้อนเดียว น่าเสียดายที่สฟิงซ์ขนาดมหึมาตัวนี้จมูกบี้ไม่อย่างนั้นเราคงจะเห็นภาพฟาโรห์เคเฟรนได้ชัดกว่านี้ เหตุเพราะว่า สมัยนโปเลียนยกทัพเข้ามาถึงอียิปต์ได้ใช้จมูกของสฟิงซ์ตัวนี้เป็นเป้าซ้อมปืน เลยโบ๋มาจนถึงทุกวันนี้ แถมมีข่าวร้ายมาอีกว่าสฟิงซ์ตัวนี้กำลังถูกมะเร็งกัดกินอยู่ภายในอยู่ อาการขนาดไหนข่าวไม่ได้รายงานค่ะ





No comments: