Wednesday, January 17, 2007

เก็บตก : Egypt


ยังมีภาพบางส่วน อยู่ที่ http://new.photos.yahoo.com/hellodara_w/











จากชั้น 2 ของพิพิธภัณฑ์ที่เมมฟิส











เดินตามกันดี ๆ นะพี่อูฐ อย่าซิ่ง

เดี๋ยวคุณน้องจะตกแอ๊กลงไป













แอบขโมยส้มหน้าห้องพักกินดีก่า




















โรงหนัง ความบันเทิงไม่กี่อย่างของคนอียิปต์

(คนแน่นขนัด ต่อแถวยาวออกมาที่ถนนเลย)


















ร้านขายน้ำผลไม้ น่ากิน ...แต่อย่าเสี่ยง



วิวข้างทางแม่น้ำไนล์

Day 6 : (3 ม.ค.50) กลับถึงกรุงเทพฯ


กลับถึงกรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพ
แอบอาลัย เพื่อนๆ พี่ ๆ น้อง ร่วมกรุ๊ปทัวร์จำนวน 36 คน
ร่ำลาและแลก email เบอร์โทร กันเป็นครั้งสุดท้าย
และหวังว่าจะได้มีโอกาสเที่ยวด้วยกันอีก

Tuesday, January 16, 2007

Day 5 : ตลาดแกรนด์บาร์ซาร์

ตลาดแกรนด์บาร์ซาร์หรือ ตลาด ข่าน อัล คาลิลี (Khan el Khalili)




























ตลาด ข่าน อัล คาลิลี (Khan el Khalili) เป็นตลาดที่ดังที่สุด มีซอกเล็กซอกน้อยให้เลี้ยวให้หลง
คนต่างชาติอย่างเราต้องระวังตัวเป็นพิเศษ จะไม่ไปเดินซอกเล็กซอกน้อยให้หวาดเสียวสันหลัง โดยเฉพาะผู้หญิง มีคนเตือนมาเยอะว่าเค้าจะทะลึ่ง ไม่ให้เกียรติ และลวนลามเอาง่าย ๆ เราเลยเลือกที่เดินไปทางใหญ่ ๆ และมีนักท่องเที่ยวเดินปะปนเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ จะดีกว่า ก็เดินดูตลาดอย่างเพลิดเพลิน เดินผ่านพ่อค้าขายข้าวโพดปิ้งกลิ่นหอมฉุย อยากกินแต่ไม่กล้า ดูจากสภาพแตกต่างจากกลิ่นเหลือเกิน และโดนเตือนมาว่าให้ระวังเรื่องอาหารและน้ำ โดยเฉพาะอาหารข้างทาง เลือกที่จะดมอย่างเดียวนะ ดีแล้ว ไกด์ให้เวลาเราตั้ง 3 ชั่วโมง สำหรับฉันแล้วเดินด่อม ๆ มอง ๆ เกือบ 2 ชั่วโมงก็เมื่อยขา ไม่ได้สนใจว่าจะซื้ออะไร มีเพียงของฝากให้พ่อแม่พี่น้องเพื่อนพ้องนิดหน่อยก็พอแล้ว


































ตลอดเวลาที่เรามาอยู่ที่อียิปต์เราะเห็นผู้ชายที่นี่นิยมสูบปล้องยาว ๆ มีควันโขมงตามร้านกาแฟริมถนนสองข้างทาง มาถามพ่อค้าที่นี่ถึงรู้ว่ามันเรียกว่า ชิชา ขวดสูบยาที่เป็นขวดแก้วใส่น้ำ แล้วเผายาสูบด้านบนแล้วเอาถ่านร้อน ๆ วางทับ คนข้าง ๆ ฉันกระดี่กระด๊าอยากลองเหลือเกิน จึงซื้อกลับเมืองไทย 1 ชุด พร้อมยาสูบรสสตอร์เบอรี่ และผลไม้รวม กลิ่นหอมหวานเหลือเกิน
หน้าตลาดจะมีร้านน้ำชา เราเลือกที่จะมานั่งกันที่นี้ เพื่อรอเวลานัดพบ เรารีบปราดไปนั่งเก้าอี้เบาะนวมดูผ่อนคลาย เลือกสั่งชาอียิปต์มาละเลียด ส่วนคนข้าง ๆ ไม่รอช้าที่จะลองสูบชิชา ที่ร้านเค้ามีบริการด้วย เห็นฝรั่งนั่งสูบควันโขมง ส่วนฉันลองสูบไปหนี่งอึก รสชาติก็หอมหวานดีแฮะ บรรยากาศตอนนี้แดดร่มลมตก เรานั่งดูผู้คนที่เดินช้อปปิ้งปมาทั้งคนอียิปต์ คนเอเชีย ฝรั่งหลายเชื้อชาติเหลือเกิน ยิ่งเย็นยิ่งคึกคัก

มีเด็กสาว ๆ มาถามไถ่ว่าสนใจเพ้นท์เฮนน่าไหม เห็นท่าทางเค้าน่าสงสาร ถามไถ่ได้ความว่าอพยพมาจากซูดานเชียว เลยอุดหนุนเค้าซะหน่อย แต่ก็ไม่ลืมต่อราคา จาก 20 LE เหลือเพียง10LE ก็จะได้ลายเพนท์เฮนน่าสวยงามไปอีก 5 วัน แต่ก่อนนั้น ห้ามล้างมือ 1 ชั่วโมง (ซวยล่ะ)










วินาทีและสถานที่สุดท้ายที่เราอยู่ที่อียิปต์ คือ สนามบิน
ขณะที่รอ check in ขึ้นเครื่องก็ได้มีเวลานั่งคุยกับคุณเก่ง ไกด์ที่อยู่กับเรามาตลอด 6 วัน
และคิดว่าต้องจากสมาชิกทัวร์คนอื่น ๆ (ที่ไม่ใช่กรุ๊ปเรา 22 คน) ที่ตะลอนเที่ยว กิน กันมาตลอด 6 วัน ก็ใจหายเหมือนกัน



Day 5 : (2 ม.ค. 50) พิพิธภัณฑ์แห่งชาติอียิปต์

วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เราจะท่องเที่ยวกันในอียิปต์ แห่งแรกที่จะไปคือพิพิธภัณฑ์แห่งชาติอียิปต์














หน้าพิพิธภัณฑ์อียิปต์

ที่นี้ไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปภายในได้ (หากอยากได้จริง ๆ ก็ซื้อคู่มือพิพิธภัณฑ์จะดีกว่า เพราะชัดเจนกว่ามาก)
พิพิธภัณฑ์แห่งชาติอียิปต์ เป็นที่เก็บสรรพสิ่งนับแสนชิ้นที่ขุดค้นและยึดมาได้

ว่ากันว่าหากจะดูของที่ตั้งแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์ให้ครบทุกชิ้น ชิ้นละ 1 นาที จะต้องใช้เวลาถึง 9 เดือนทีเดียวถึงจะถ้วน
หันไปมองรอบ ๆ ดูเหมือนของเยอะจริง ๆ ะตั้งโชว์กันอย่างตามสบาย ไม่ได้อยู่ในตู้กระจกอย่างบางที่

เวลามีจำกัด ไกด์ของเราจึงพาเราชมแต่สิ่งที่สำคัญ เริ่มตั้งแต่แผ่นหินโรเซ็ตต้า ที่จารึกอักษร 3 ภาษาไว้ ทำให้เราสามารถแปลภาษาภาพอียิปต์ออก ของจริงอยู่ที่ลอนดอนจ๊ะ ที่เห็นอยู่นี้เป็น copy
แล้วพาเราย้อนอดีตไล่ไปเรื่อย ๆ ตั้งแต่ยุคอาณาจักรเก่า Old Kingdom อาณาจักรกลาง Middle Kingdom และอาณาจักรใหม่ New Kingdom ผ่านรูปสลักฟาโรห์มาหมาย หากรูปสลักฟาโรห์ที่ก้าวเท้าเยื้องย่าง แปลว่าสร้างขึ้นตอนมีชีวิตอยู่ และหากยืนเท้าชิดตรงแปลว่าสร้างตอนพระองค์สิ้นพระชนม์ไปแล้ว
Hilight อยู่ที่ห้องสมบัติของฟาโรห์ตุตันคาเมน และห้อง Royal Mummy ทั้งสองห้องอยู่บนชั้นสองของพิพิธภัณฑ์
ก่อนจะถึงห้องสมบัติจะเป็นมหาสมบัติ เช่นเครื่องทองและเครื่องใช้ บัลลังก์ทอง ห้องพระศพทองคำ ส่วนภายในห้องสมบัติ สิ่งที่เห็นอันดับแรกคือตู้กระจกใส่หน้ากากปิดพระศพ สวยงามเหลือเกิน พระพักตร์ฟาโรห์งามจริง ๆ โลงพระศพทองคำอร่ามตา หนักกว่า 1 ตัน
ห้องสุดท้ายที่ไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่ง คือห้องแสดงมัมมี่ (Royal Mummy) ด้วยความเชื่อว่าซักวันจะฟื้นคืนกลับมา ทำให้คนอียิปต์โบราณรักษาศพผู้ตายเอาไว้ไม่ให้เน่าเปื่อย เพื่อที่วิญญาณจะได้กับเข้ามาเข้าร่างได้อีกครั้ง (หาอ่านเพิ่มเติมได้เรื่องของดวงวิญญาณ “คา” กับ “บา”) ทางเดินก่อนจะเข้าห้องมัมมี่จะมีภาพแสดงกรรมวิธีการทำมัมมี่ อย่างคร่าว ๆ ห้องมัมมี่ที่ถูกจัดพิเศษเป็นห้องแอร์ เพื่อควบคุมอุณหภูมิของมัมมี่ และให้เงียบและขลัง เพื่อแสดงความคาวระต่อผู้ตาย หนึ่งในห้องนี้คืออดีตฟาโรห์ผู้ยิ่งใหญ่ รามเสสที่ 2 ต้องบอกคำเดียวว่า อารยธรรมเหนือคำบรรยายจริง ๆ






เดินไปทานข้าวเที่ยง เห็นตึกสวยดี





อาหารเที่ยงวันสุดท้ายที่อียิปต์พิเศษกว่าวันอื่น ๆ วันนี้เราจะได้กินอาหารไทยกัน เราคิดถึงอาหารไทยกันสุด ๆ แม้ทุกวันเราจะมีน้ำพริกสารพัด ไม่ว่าจะเป็นน้ำพริกเผา น้ำพริกนรก น้ำพริกตาแดง และน้ำพริกกุ้งเสียบ ที่ส่งเสริมรสชาติอาหารจีน อาหารอียิปต์ อาหารฝรั่งก็เถอะ มันก็ยังไม่ถึงใจเท่าอาหารไทยจริง ๆ ซักที่
ร้านอาหารไทยชื่อบัวขาว อยู่ใกล้ ๆ กับพิพิธภัณฑ์เดินไปแค่ 5 นาทีก็ถึง คนเสิร์ฟและพ่อครัวก็เป็นคนไทย มีแกงเขียวหวานไก่ ลาบปลาทูน่า ผัดผัก ไข่พะโล้ ขนมหวานเป็นกล้วยบวชชี สบายใจ พอมีแรงไปเที่ยวกันต่อช่วงบ่าย









ระหว่างทางที่จะไปช้อปปิ้งส่งท้ายกันที่ตลาดแกรนด์บาร์ซาร์ เราผ่านซิทาเดล ปราสาทเก่าแก่ที่สวยงามยิ่ง ที่มีอายุหลานพันปี ของอียิปต์ยุคกลางหรืออียิปต์อิสลาม เราได้แค่แวะถ่ายรูปอยู่ภายนอก 10 นาทีเท่านั้น

Day 4 : ซัคคารา-ปิระมิดขั้นบันได (ต่อ)


ช่วงนี้ไม่มีรูปจ๊ะ กล้องแบตหมด ได้แต่ทำหน้าจ๋อย รอคนเห็นใจ หรือยื่นหน้าไปขอถ่ายกับเค้า ก็ต้องรอให้เค้าส่งรูปมาให้ก่อนแล้วจะมา Update ให้ค่ะ

ออกจากพิพิธภัณฑ์เมืองเมมฟิสเราก็ข้ามมาที่เมืองซัคคารา (Saqqara)


มาดูปิระมิดขั้นบันได (Step Pyramid of Pharaoh Zoser) มาถึงที่นี่ให้ความรู้สึกว่าอยู่กลางทะเลทรายจริง ๆ
(ช่วงนี้จะแม่นข้อมูลเพราะตั้งใจฟังไกด์อย่างดี เหมือนจะเอาไปสอบก่อนขึ้นเครื่องบินกลับ)

เมืองซัคคารา ได้ชื่อว่าเป็นนครแห่งความตาย เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยสุสาน ซากปรักหักพังของปีระมิดจำนวนมาก
ปิระมิดขั้นบันไดนี้ สร้างโดยสถาปนิกอิมโฮเทป ซึ่งออกแบบหลุมฝังศพให้แข็งแรงมั่นคงยิ่งขึ้น


ถือเป็นต้นแบบของการก่อสร้างปิระมิดหินล้วน ๆ สมัยต่อมารูปทรงของปิระมิดก็เปลี่ยนไปเป็นปีระมิดหักมุม และกลายเป็นปิระมิดแท้จริงในที่สุด
ปิระมิดขั้นบันได เป็นสุสานที่มีองค์ประกอบที่สมบูรณที่สุดและมีเพียงแห่งเดียวในราชอาณาจักรอียิปต์เท่านั้น
ยุคนี้จะนิยมสุสานที่อยู่รวมกันทั้งราชวงศ์ ไม่แยกเดี่ยว ๆ เหมือนปิระมิดยุคหลัง เช่นที่กิซ่า และซึ่งช่วงหลัง ๆ ฟาโรห์ก็เลิกสร้างปิระมิดไปแล้วแต่ให้เอาพระศพไปฝังไว้ที่หุบผากษัติรย์แทน จะอยู่ทางใต้ของประเทศ ถ้าอยากไปต้องมีเวลาและเงินกว่านี้อีกเท่าตัว

และจะเห็นว่า ปิรามิดขั้นบันไดล้อมรอบด้วยกำแพงที่ทำประตูปลอมที่สลักเป็นลวดลายประตู มีจำนวนถึง 14 ประตู แต่มีเพียงประตูเดียวเท่านั้นที่เป็นประตูทางเข้าจริงคือประตูที่สร้างเป็นทางเข้าวิหารค่ะ

Day 4 : เมมฟิส ซัคคารา-ปิระมิดขั้นบันได



พักทานอาหารกลางวันเป็นบุฟเฟ่ห์อาหารอียิปต์ หลายอย่างได้กลิ่นเครื่องเทศแล้วชวนสยอง แต่ที่อร่อยไม่น้อยก็ต้องเป็นพวกไก่ทอด ปลาทอด ....แต่ขณะนี้ อะไรเราก็ทานได้หมด ยังมีโปรแกรมที่ต้องไปเมมฟิสและซัคคารา ต้องกินเอาแรงก่อน





นับว่าเป็นโชคดีของเรา ที่มาอียิปต์ช่วงฤดูหนาว (มค.- กพ.) อากาศเย็นและสบายตัว ไม่อย่างนั้นคงเที่ยวไม่สนุก เพราะถ้ามาช่วงฤดูร้อนที่นี้จะร้อนมาก ร้อนนรกแตก อุณหภูมิกลางทะเลทรายประมาณ 45 องศา เดินเที่ยวเล่นเย็น ๆ ใจอย่างที่เราทำอยู่คงจะยากมาก ๆ ทีเดียว



ช่วงนี้ไม่มีรูปจ๊ะ กล้องแบตหมด ได้แต่ทำหน้าจ๋อย รอคนเห็นใจ หรือยื่นหน้าไปขอถ่ายกับเค้า ก็ต้องรอให้เค้าส่งรูปมาให้ก่อนแล้วจะมา Update ให้ค่ะ



ออกเดินทางสู่เมืองเมมฟิสเมืองหลวงเก่าของอียิปต์ ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 30 นาทีเราก็มาถึงจุดหมายพิพิธภัณฑ์เมืองเมมฟิส (จริง ๆ แล้วนั่งหลับมา อิ่มแล้วหนังตาก็หย่อนเป็นธรรมดา) พิพิธภัณฑ์ที่นี่ก็ขนาดเล็ก และก็วางไว้ตามสบายไม่มีหลังคาหรือตู้ใส่ มองดูเผิน ๆ เหมือนไม่มีอะไรแต่สิ่งที่ไกด์เราอยากนำเสนอคือรูปแกะสลักขนาดมหึมาของรามเสสที่ 2




























































สฟิงซ์ตัวนี้ค้นพบมาจากเมืองเมมฟิสนี้ค่อนข้างสมบูรณ์แต่ไม่พบหลักฐานว่าเป็นของฟาโรห์องค์ใด ชื่ออะไร จากความรู้ที่ถูๆ ไถ ๆ ศึกษามา และไม่ได้ตั้งใจฟังไกด์ สฟิงซ์ถูกสร้างตอนที่ฟาโรห์ยังมีชีวิตอยู่หรือว่าเสียชีวิตไปแล้วให้ดูได้จากเคราของสฟิงซ์ ถ้าเครามีลักษณะปลายงอนขึ้นอย่างสฟิงซ์ตัวนี้แสดงว่าถูกสร้างตอนฟาโรห์เสียชีวิตไปแล้ว แต่ถ้าปลายตรงก็ถูกสร้างตอนยังมีชีวิตอยู่ หน้าตาดีเหมือนกันนะเนี้ย




น้องหมาอียิปต์ มีนิสัยรับแขกอย่างน่ารักน่าชัง ดูเพลิน ๆ นึกว่าสฟิงซ์
อดที่จะตื่นเต้นและแปลกใจไม่ได้ เพราะประเทศมุสลิมส่วนใหญ่ไม่นิยมเลี้ยงหมาค่ะ

Day 4 : (1 มกราคม 2550) ปิระมิด สฟิงซ์

สวัสดีปีใหม่ ๒๕๕๐
แม้ว่าเราจะตื่นเช้าตามเวลาท้องถิ่น ๘ โมงเช้าแต่เวลานี้ในประเทศไทยประมาณเที่ยงวันแล้ว
เราก็กล่าวสวัสดีปีใหม่กันอีกครั้ง
วันนี้ที่จะได้เห็นมหาปิระมิด 3 องค์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ หนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ ซึ่งปัจจุบันก็ยังไม่มีใครให้คำตอบได้ชัดเจนว่า สิ่งก่อสร้างอันยิ่งใหญ่แห่งนี้สร้างขึ้นมาได้อย่างไร และสันนิษฐานว่าน่าจะมีอายุราว สาม-สี่พันปี มาแล้ว และเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณที่หลงเหลืออยู่เพียงแห่งเดียวในปัจจุบัน





















ปิระมิดองค์แรกที่ได้ไปเยือน เงยหน้ามองทีแทบไม่น่าเชื่อเลยว่ามันจะยิ่งใหญ่ขนาดนี้ เมื่อได้เห็นกับตาก็ต้องตะลึง




นี่คือปิรามิดองค์แรกที่สูงที่สุดใหญ่ที่สุด มหาปิรามิดคุฟู สร้างในช่วง 2,600 ปีก่อนคริสตกาล สร้างด้วยหินวางทับซ้อนกันขึ้นไปกว่า 2 ล้าน 3 แสนก้อน หินแต่ละก้อนหนักไม่ต่ำกว่า 2.5 – 15 ตัน ฐานปิรามิดแต่ละด้านยาวเท่ากันเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส 230 เมตร แต่เดิมสูง 146.5 เมตร แต่ปัจจุบันเหลือความสูงเพียง 137 เมตรเท่านั้น ลักษณะที่สมบูรณ์แบบของปิระมิดในสมัยโบราณจะเป็นสีขาว ถูกฉาบเรียบทั้งองค์ไม่ได้เห็นหินเป็นก้อน ๆ ต่อกันแบบนี้ เนื่องจากสภาพอากาศและกาลเวลาทำให้ผุกร่อนลงไปและในสมัยก่อนชาวบ้านมักจะมาขุดเอาหินปิรามิดไปใช้สร้างบ้าน










เมื่อเราหันหลังให้มหาปิรามิดคุฟูหันหน้าออกไป เราก็ได้เห็นเมืองกีซา กรุงไคโร ตึกสูงๆเยอะแยะไปหมด ถ่ายรวมไปกับตำรวจขี่อูฐลาดตระเวน สอดส่องความปลอดภัยด้วยเลยล่ะกัน


















เรามาที่จุดชมวิว panorama ที่สามารถมองเห็นปิรามิดทั้ง 3 องค์
ตรงจุดนี้นักท่องเที่ยวหลายเชื้อชาติยืนออกันหามุมถ่ายรูปดี ๆ กันเต็มไปหมด ทั้งไทย ญี่ปุ่น ฝรั่ง
องค์แรกทางซ้ายมือคือ มหาปิระมิดคูฟู ที่เล่าไปแล้ว

องค์ถัดมาคือปิรามิดเคเฟรนสร้างโดยฟาโรห์เคเฟรนผู้เป็นลูกของฟาโรห์คุฟู
และขวาสุดคือปิรามิดอเมนคูเรสร้างโดยฟาโรห์ซึ่งเป็นลูกของฟาโรห์เคเฟรน

นับลำดับกันไปมาก็พาลจะงงไปเหมือนกัน

เมื่อมองจากมุมนี้จะเห็นปิรามิดองค์ที่สองใหญ่ที่สุด แต่ความจริงแล้วปิรามิดองค์ที่สองสร้างอยู่บนเนินจึงทำให้มองดูเหมือนปิรามิดเคเฟรนใหญ่ที่สุด ปิรามิดองค์นี้สูงเดิม 143.5 เมตร ปัจจุบันสูงเพียง 136 เมตรเพราะทรุด และความยาวของฐานแต่ละด้าน 210.5 เมตรส่วนปิรามิดองค์อเมนคูเรสูงเดิม 66.5 เมตร ปัจจุบันสูงวัดได้ 62 เมตร ความยาวฐานด้านละ 108 เมตร

















จุดนี้จะมีชาวอียิปต์มาคอยถามนักท่องเที่ยวที่อยากจะขี่อูฐไปที่ปิรามิดองค์ที่สองและสาม ซึ่งถ้าเราอยากนั่งต้องบอกไกด์ อย่าไปนั่งสุ่มสี่สุ่มห้า ไม่อย่างนั้นเราอาจจะถูกโขกราคา ขึ้นอูฐ ๑๐ ปอนด์ อาจจะต้องเสียค่าลงอูฐ ๑๐๐ ปอนด์ก็เป็นได้
เมื่อมาถึงแล้วก็ต้องลองขี่อูฐตัวจริง ตัวเป็น ๆ พร้อมชมวิว panorama ขนาดนี้ ราคาค่าบริการ คนละ 10 ดอลลาร์ขี่สองคนหรือคนเดียวก็ได้ นับเป็นประสบการณ์ในช่วงเวลาสั้น ๆ ที่ตื่นเต้นทีเดียวล่ะเพราะเวลาอูฐลุกขึ้นยืนก็จะลุกทีละ 2 ขา ขาหลังก่อนแล้วค่อยขาหน้า มันก็ทำให้หกหน้าหกหลัง หวาดเสียวพิลึกกลัวจะตกลงไปนอนดิ้นให้อูฐเหยียบซ้ำอยู่บนพื้นทรายข้างล่าง ก้มลงไปดูพื้นทรายข้างล่างก็ให้จิตตก เพราะเต็มไปด้วยขี้อูฐ ก้อนหิน ก้อนกรวด เต็มพื้นเลย ถ้าซวยตกลงไปงานนี้มีได้เลือด









กับปิระมิดเคเฟรน ฉันเหลือตัวติ๊วเดียว














ขับรถต่อไปยังใกล้ ๆ กันคือสฟิงซ์ หน้าบู้บี้
สฟิงซ์ตัวนี้มีหน้าที่ปกปักษ์รักษาเขตแดนของฟาโรห์ให้รู้ว่าไม่ใช่ที่ๆ คนสามัญทั่วไปจะเข้าไปยุ่มย่าม ฟาโรห์เคเฟรนทรงให้สร้างเป็นประติมากรรมแกะสลักจำลองหน้าสฟิงซ์จากพระพักตร์ของพระองค์ โดยสฟิงซ์ตัวนี้แกะสลักจากหินเพียงก้อนเดียว น่าเสียดายที่สฟิงซ์ขนาดมหึมาตัวนี้จมูกบี้ไม่อย่างนั้นเราคงจะเห็นภาพฟาโรห์เคเฟรนได้ชัดกว่านี้ เหตุเพราะว่า สมัยนโปเลียนยกทัพเข้ามาถึงอียิปต์ได้ใช้จมูกของสฟิงซ์ตัวนี้เป็นเป้าซ้อมปืน เลยโบ๋มาจนถึงทุกวันนี้ แถมมีข่าวร้ายมาอีกว่าสฟิงซ์ตัวนี้กำลังถูกมะเร็งกัดกินอยู่ภายในอยู่ อาการขนาดไหนข่าวไม่ได้รายงานค่ะ





Day 3 : Alexandria – Giza (ต่อ)




















ความพิเศษของอาหารค่ำวันนี้คือนั่งเรือล่องแม่น้ำไนล์ที่กว้างใหญ่ แม่น้ำที่ยาวที่สุดในโลก ชมการแสดงพื้นเมืองอียิปต์ บัลลี่แดนซ์หรือระบำหน้าท้องที่เลื่องชื่อนั่นเอง ออริจินัลของแท้ก็เกิดที่อียิปต์นี่เอง สันนิฐานว่าระบำให้ฟาโรห์ทอดพระเนตรในงานฉลอง งานรื่นเริงต่าง ๆ
เล็ก ๆ น้อย ๆ เกี่ยวกับแม่น้ำไนล์ : เป็นแม่น้ำสายยาวที่สุดในโลก 4145 ไมล์
สมัยก่อนใช้ในการนับวัน 365 วัน โดยการขึ้นลงของแม่น้ำไนล์
และในสมัยอียิปต์โบราณ แบ่งเขตปกครองตามการไหลของแม่น้ำไนล์ที่ไหลลงทะเล คือไหลจากทางใต้ขึ้นไปทางเหนือ
แบ่งเป็นอียิปต์บนและอียิปต์ล่าง “อียิปต์บน”คือจากที่ราบลุ่มแม่น้ำไนล์อัสวาน และถึงไคโร “อียิปต์ล่าง” คือจากไคโร ถึงปากแม่น้ำไนล์ ทุกวันนี้แม่น้ำไนล์เต็มไปด้วยโรงแรมห้าดาวและสิ่งก่อสร้างสวยหรู

ร้านที่เราไปล่องเรือตกแต่งได้อลังการมาก ๆ ดูจากร้านนู้ร้านนี้ ที่มีอยู่มากมายริมแม่น้ำ คิดว่าเป็นธุรกิจที่ทำกำไรกันมากพอควร

Monday, January 15, 2007

Day 3 : (31 ธ.ค. 49) Alexandria – Giza (Papyrus Institute, Perfume Shop)




เช้าวันที่สองของการเดินทาง เราต้องออกจากอเล็กซานเดรียเวลา 9.00 น.เพื่อเดินทางกลับไปที่กรุงไคโร เลียบริมฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน คลื่นแรงเหลือเกิน

ถึงเมืองกีซ่าแล้ว อันดับแรกที่ทำคือ
รับประทานอาหารกลางวัน มื้อนี้พิเศษตรงที่เป็นอาหารจีน เป้นมื้อแรกที่ไม่ใช่อาหารอียิปต์ ...อาหารจีนที่นี้แปลกดีนะ มีซุปไข่ใส่มะเขือเทศ และผัดผัก
แต่ร้านนี้มีดีตรงที่วิวสวย มองจากในร้านและหน้าร้านก็เห็นปิระมิดชัดแจ๋ว



ทานอาหารเที่ยงเสร็จ เราก็เข้าไปร้านน้ำหอม เค้าบอกว่าน้ำหอมของที่นี่เป็นน้ำหอมบริสุทธิ์ที่สกัดมาจากดอกไม้บริเวณโอเอซิสแถบ ๆ เมือง Faiyum ไม่ผสมแอลกอฮอล์ ผู้บรรยายของที่ร้านนี้ ท่าทางเชี่ยวชาญในการนำเสนอแถมดุด้วยถ้าเราไม่ตั้งใจฟัง

เค้าแนะนำกลิ่น 3 กลิ่นที่ขายดีมากที่ว่าจะเป็นกลิ่นที่ไม่ส่งออกขายต่างประเทศคือ กลิ่น Lotus , Flower of Sakkara และ Cleopatra แล้วที่เป็นไฮไลท์สร้างความฮือฮาให้กับผู้ชมผู้ฟัง คือ น้ำหอมชื่อ Secret of desert กับ Secret of life Secret of desert เป็นน้ำหอมพิเศษสำหรับผู้หญิงเพื่อเพิ่มเสน่ห์ ในเรื่องกิจกรรมในห้องนอน วิธีการใช้ ควรใช้ในเวลากลางคืนโดยเฉพาะหลังเที่ยงคืนได้ก็จะดี แล้วก็ใช้เฉพาะในบ้านเท่านั้นเค้าไม่แนะนำให้ใส่แล้วออกไปข้างนอก ส่วน Secret of life เป็นน้ำหอมสำหรับคุณผู้ชายทั้งหลายไว้เสริมเสน่ห์เรียกหญิงสาว คุณสมบัติไม่ต่างจากน้ำหอมกลิ่นผู้หญิงค่ะ
เค้าแนะวิธีแต้มน้ำหอมให้ได้ผลชะงัดคือ แต้มบริเวณหลังหูสองข้าง ข้อมือ แล้วก็หน้าผาก




ที่ต่อไปสถาบันปาปิรัส ชมวิธีการทำกระดาษปาปิรัสแบบดั้งเดิม แล้วก็ชมแกลลอรี่ของสถานบัน ผู้บรรยายของสถาบันเล่าถึงการทำกระดาษปาปิรัสเริ่มต้นจากการนำเอาต้นกกอียิปต์ ซึ่งมีลักษณะล้ำต้นเหลี่ยม มาตัดลำต้นตามความยาวของกระดาษที่เราต้องการแล้วแช่น้ำไว้ 6 วัน แล้วเอามีดฝานท่อนกกออกมาเป็นแผ่นบางแช่ไว้ในน้ำอีก 6 วัน หลังจากนั้นก็เอามาวางสานขัดกันให้เต็มแผ่น แล้วก็เอาไปทับไว้ใต้แท่นเหล็ก (สมัยโบราณทับด้วยแท่นหิน) อีก 6 วันก็จะได้กระดาษปาปิรัส ที่แข็งแรง เหนียวและทนทานฟังดูเหมือนง่ายจัง เราก็ทำได้ จะกลับไปทำบ้างดีไหม แต่ว่ามันต้องมีเคล็ดลับการทำที่เขาไม่เปิดเผยให้เรารู้แน่ ๆ เลย
เดินชมในแกลเลอรี่ของเค้า แต่ละภาพสวยงามและมีเอกลักษ์เฉพาะของอียิปต์จริง ๆ แต่ก็ต้องให้ตะลึงในราคาของกระดาษปาปิรัส แผ่นเล็ก ๆ ขนาด A4 เริ่มต้นที่ราคาประมาณ 60 L.E. แพงเหลือเกิน ได้แต่เดินดูอย่างเดียวดีกว่า
หากไม่ซีเรียสว่าต้องเป็นปาปิรัสของแท้ มีพ่อค้าริมถนนมาเสนอขายกระดาษปาปิรัส แต่ทำจากต้นกล้วย แต่ดูแล้วภาพวาดก็สีสันสดใสไม่แพ้กัน ในราคาแสนถูก แต่ขึ้นอยู่กับวิธีต่อรองค่ะ เสนอมา 10 แผ่น ราคา 20 L.E. ถ้าเล่นตัวยึกักหน่อย อาจเสนอมาให้ 12-15 แผ่นเลยเชียว

Day 2 : Cairo - Alexandria



จุดแรกที่แวะเยี่ยมเยือนคือเสาปอมเปย์พิลลาร์ เป็นเสาหินแกนิตสีแดง เป็นโบราณสถานที่สูงที่สุดในเมือง ว่ากันว่านำมาจากเมืองอัสวาน ซึ่งอยู่ทางใต้ของประเทศ ห่างจากเมืองอเล็กซานเดรีนับร้อยไมล์ ที่นี่เป็นร่องรอยทางอารยธรรมที่สร้างขึ้นในสมัยที่เมืองอเล็กซานเดรียเป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรโรมัน


จากบริเวณเสาปอมเปย์พิลลาร์มองไปที่ตึกรามบ้านช่อง ที่นี่ตึกสร้างเสร็จแล้วกับยังไม่เสร็จ ไม่ได้แตกต่างกันเลย เค้าไม่ฉาบปูน ปล่อยให้เห็นอิฐแดงอย่างนั้น มีส่วนน้อยมากทาสีตึก


ที่เมืองอเล็กซานเดรียมีรถรางวิ่งบริเวณในเมืองด้วย นั่งดูจากบนรถ เห็นคนที่นี่ไม่มีใครกลัวรถที่แล่นผ่านไปมากันสักเท่าไหร่ คนก็ไม่กลัวรถ รถก็ไม่กลัวคน รถกับรถก็ไม่กลัวกัน ทางเล็ก ๆ เบียดกัน ใครกล้ากว่าก็ได้ไป ดูจากสภาพรถที่วิ่งก็พอจะเข้าใจ มีร่องรอยบุบ บี้ ให้เห็นบ้าง แต่อยู่ที่นี่ก็ยังไม่เห็นใครชนใครซะที

แล้วก็ถึงอาหารมื้อแรก ของเราที่อียิปต์ เค้าเราที่ร้านอาหารริทะเลเมดิติเรเนียน บรรยากาศดีเชียว อดฝันหวานถึงอาหารทะเลไม่ได้ แต่เราก็ต้องกลับมารับสภาพความเป็นจริง
อาหารมื้อแรกเป็นอาหารพื้นเมืองอียิปต์ จนแรกที่เสิร์ฟเป็นตะกร้าขนมปังสารพัดชนิด ที่ไกด์แถมจานนมข้นหวานและน้ำจิ้มไก่แม่ประนอมมาด้วย แรก ๆ ก็งงให้กินกับอะไร แต่พอเสิร์ฟอาหารชุดต่อไปถึงรู้ อาหารชุดถัดมา เป็นเซ็ทจานถั่ว ประกอบด้วย ถั่วดำเม็ดเล็ก ๆ ถั่วขาว ถั่วบด มะเขือม่วง แต่ละจานผสมไปด้วยเครื่องเทศกลิ่นฉุนกึก กลิ่นสะใจชาวแขก และอาหารจานหลักเป็นข้าวเสริฟ์พร้อมปลาย่างรสชาติสดใหม่ ก็อร่อยดี นี่คือมื้อแรก กินได้บ้างไม่ได้บ้างก็กินเข้าไป เพื่อให้รู้และลึกซึ้งถึงอียิปต์






หลังรับประทานอาหารกลางวันเรียบร้อยที่ต่อไปที่เราต้องไปเยือน คือป้อมซิทาเดล ( Citadel ) เป็นป้อมถูกสร้างอยู่ติดกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งในอดีตป้อมนี้เป็นที่ตั้งของประภาคารฟาโรห์ ภายในเป็นที่ตั้งของสุเหร่าที่เก่าแก่ที่สุด มองจากป้อมเห็นท้องฟ้าใส น้ำทะเลสีฟ้าสวย นี่เป็นวิวที่มองเห็นได้จากบนกำแพงโดยรอบป้อมฯ ชาวอียิปต์เองก็นิยมมาเที่ยวที่ป้อมฯนี้พอสมควร วันนี้มีเด็ก ๆ มาเที่ยวเยอะแยะไปหมด เยอะจนนึกว่าเป็นวันเด็กแห่งชาติ เด็กที่นี่ชอบนักท่องเที่ยวแฮะ พยายามจะเข้ามาทักทาย ด้วยภาษาอังกฤษบ้าง ภาษาจีนบ้าง
โบกมือทักทายกันตลอดทาง ระหว่างทางที่จะกลับโรงแรม เราผ่านหอสมุดอเล็กซานเดรีย หอสมุดที่ได้ชื่อว่า ใหญ่ที่สุดในโลก และมีหนังสือกว่า 8 แสนเล่ม ทุกภาษาทั่วโลก แน่นอนต้องมีภาษาไทยรวมอยู่ด้วยแน่นอนค่ะ และแล้วหลังจากเหนื่อยมาทั้งวันจากการเดินทางไกลข้ามทวีป เราก็ถึงที่พักริมทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เป็นสไตล์รีสอร์ทเมืองร้อน ลักษณะโดยรอบแถวนี้ เหมือนแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลบ้านเรา หัวหิน พัทยา มีรีสอร์ท บ้านพัก โรงแรม สไตล์เกรกโคโรมานา แต่ไม่ค่อยมีผู้คนเพราะตอนนี้คือช่วงฤดูหนาว อากาศหนาวเย็นมาก คลื่นทะเลก็สูง จะเห็นบ้างที่มาดินเล่นริมหาดกัน มาเป็นครอบครัว มาเป็นคู่หนุ่มสาว เด็ก ๆ ก็ยังเยอะเหมือนเดิม และยังชอบที่จะมาทักทายเรา